ภุมรินทร์ โมทอง กับ ชมรมสานฝันคนสร้างป่า

ฅ.สร้างฝาย ครั้งที่ 8
ระหว่างวันที่ 21-25 พ.ค. 2562
บ้านน้ำทิพย์ ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ



ผมมีโอกาสได้เข้าร่วมการจัดกิจกรรมหรือ "ค่าย" ของ ชมรมสานฝันคนสร้างป่า ฅ.สร้างฝาย ครั้งที่ 8 ระหว่างวันที่ 21-25 พ.ค. 2562 ณ บ้านน้ำทิพย์ ตำบลทุ่งลุยลาย อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ โดยได้สมัครผ่าน Chanya Pun มีค่ายสมัครเพียงเเค่ 250 บาท พร้อมกับเสื้อ 1 ตัว ในวันเดินทางไปค่ายเป็นวันที่ผม "เมา" จากร้าน 99 มหาสารคาม แต่ด้วยความรับผิดชอบที่ได้รับปากกับน้องๆ เเละเพื่อนๆ ว่าจะไปร่วมกิจกรรมและสร้างฝายชะลอน้ำ เวลา 04.00 ผมมีความลังเลจะไปหรือไม่ไปดี และผมเองก็ได้คำตอบจากใจของตนเอง คือ "เดินหน้าต่อในสิ่งที่เรารัก" และก้าวขึ้นรถอย่างภาคภูมิใจถึงแม้จะลังเลเรื่องขึ้นไปมหาวิทยาลัยรังสิตก็ตาม

เมื่อถึงที่เป้าหมาย สิ่งเเรกที่ผมสังเกต คือ ที่พัก ห้องน้ำ ชุมชน และบริบทต่างๆ รวมถึงความปลอดภัยของตนเองและคนในค่าย และได้พบกับผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านน้ำทิพย์ (BANNAMTHIP) ได้มีการสนทนากันเล็กน้อย ท่านมีชื่อว่า "นายอาทิตย์ แสนสะอาด" โรงเรียนบ้านน้ำทิพย์ ตั้งอยู่ หมู่ที่ 3 บ้านน้ำทิพย์ ตำบลทุ่งลุยลาย อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ

* ระดับที่เปิดสอน : อนุบาล-ประถมศึกษา
* เครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษา : คอนสาร 6
* องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น : ทุ่งลุยลาย
* ระยะทางจากโรงเรียน ถึง เขตพื้นที่การศึกษา : 65 กิโลเมตร
* ระยะทางจากโรงเรียน ถึง อำเภอ : 25 กิโลเมตร

ตั้งอยู่บนภูเขาสูง มีพืชพันธ์ุอุดมสมบูรณ์ สัตว์ป่านานาชนิด และยังเป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธารที่มีทัศนียภาพงดงาม สภาพแวดล้อมร่มเย็น ซึ่งถือเป็นป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์อีกแห่งหนึ่งในภาคอีสานของประเทศไทย


 อาหารมือเเรก ของวันที่ 21 พ.ค. 2562 (เที่ยง) คือ ผัดผักบุ้งและแกงพะแนง โดยนั่งเป็นกลุ่มที่ยังไม่ได้แบ่งทีมหรือเป็นระบบ และหลังจากรับประทานเสร็จก็เข้าสู่กระบวนการต่างๆ เช่น เกมส์ สันทนาการ รวมไปถึงการแบ่งกลุ่ม โดยมีวัตถุประสงค์ให้ลูกค่าย (ผู้เข้าร่วมโครงการ) ทำงานกันเป็นทีมและมีความสามัคคีภายในทีม ดดยแบ่งออกเป็น 6 สี ได้เเก่ สีม่วง สีเขียว สีเหลือง สีฟ้า สีชมพูและสีเเดง โดยมีอุปกรณ์ให้เเต่ละสี ได้เเก่ ป้ายชื่อ กระเป๋า สมุดกระจก (สมุดเขียนความรู้สึก) และปากกาเมจิ 2 แท่ง


 

สร้างป่า ปันน้ำใจ เพื่อพงไพร สู่ทุ่งลุยลาย ขอบคุณสำหรับมิตรภาพดีๆ อยู่ด้วนกัน 5 วัน แต่สนิทกันกว่าเพื่อนที่เรียนด้วยกันอีก ถึงค่ายรอบนี้จะพบเจอปัญหามากมาก ทั้งฝนตก ยังต้องมาวิ่งขึ้นเขาเพื่อหาที่หลบฝน เหนื่อยมากๆ แต่ก็สนุกมากเช่นกัน


วันที่สอง "การสร้างฝาย"

ฝายมีชีวิต แนวคิดแก้ปัญหาน้ำอย่างยั่งยืน : เป็นฝายรูปแบบใหม่เพื่อใช้ในการบรรเทาปัญหาน้ำท่วม และแก้ปัญหาภัยแล้งได้อย่างยั่งยืน โดยนำแนวคิดจากระบบนิเวศในอดีต ที่ทุกสายน้ำมีความอุดมสมบูรณ์ จนได้รับคำกล่าวขานว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” แต่หลังจากธรรมชาติได้เปลี่ยนแปลงไปโดยการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และกระแสการพัฒนาในยุคใหม่ ทำให้ระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์สูญหายไป จนทำให้ในหน้าฝนคนกลัวน้ำท่วม และพยายามแก้ปัญหาเรื่องน้ำท่วม แต่หลังจากนั้นไม่เกินสามเดือน ก็จะกลับเจอภาวะภัยแล้ง จนบางทีกลายเป็นพื้นที่แล้งซ้ำซาก และเป็นภาระของทางราชการจะต้องวนเวียนแก้ปัญหาเหล่านี้ในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนปัญหากลับขยายวงกว้างออกไปไม่หยุด จนมาถึงปัจจุบันนี้ กลายเป็นปัญหาสำคัญของบ้านเมือง ที่ทุกฝ่ายต้องระดมพลังมาแก้ปัญหากันอย่างหนักตลอดเวลา จนน่าเป็นห่วง และสิ้นเปลืองทั้งงบประมาณ บุคคลากรและเวลา อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

กลุ่มคนเหล่านี้จึงเห็นว่าการแก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง จะต้องเลียนแบบธรรมชาติให้สายน้ำต่างๆ เก็บกักน้ำในหน้าฝนไว้ได้เป็นบางส่วน และส่งน้ำให้ซึมเข้าสู่พื้นดินสองฝั่งคลอง และต้นไม้ทั้งหลายได้ดูดขึ้นไปเก็บกักไว้จนกลายเป็นถังน้ำธรรมชาติ ก่อนที่จะปล่อยให้ไหลไปข้างล่าง และจะต้องทำให้สัตว์น้ำต่างๆสามารถข้ามไปมาเพื่อให้มีโอกาสขยายพันธุ์ได้ อีกทั้งหน้าฝายจะต้องไม่มีตะกอนมาทับถม และจะต้องมีความมั่นคงถาวรสืบไป และที่สำคัญที่สุดชุมชนจะต้องมีส่วนร่วมโดยไม่ใช่นั่งดูยืนดู

ฝายมีชีวิต จึงเริ่มต้นโดยกระบวนการการเข้าใจของคนในชุมชน จนรู้แท้ถึงปัญหาอย่างแท้จริง แล้วจึงลงมือหาวัสดุที่มีในท้องถิ่นเช่นไม้ไผ่ มาลงมือปักลงในท้องคลองลึกประมาณ 1.50 เมตร โดยมีระยะห่างกันต้นละไม่เกิน 30 เซนติเมตร เรียงกันไป โดยขวางและความยาวตามความเหมาะสมของพื้นที่ และสูงจากท้องคลองประมาณ 1.50 เมตร แล้วนำไม้ไผ่อีกส่วนหนึ่งมามัดตามขวางช่องละไม่เกิน 30 เซนติเมตร โดยใช้เชือกไนล่อนขนาด 5 มิล. ซึ่งขั้นตอนนี้จะเป็นการระดมพลังทั้งเรื่องแรงงาน และปัจจัยต่างๆ ที่ต้องใช้ “คนตรงนั้น” หมายถึงคนในชุมชน และคนใกล้ไกล รวมทั้งผู้นำท้องถิ่นท้องที่ ในการมีส่วนร่วม


“ได้อะไรจากฝายมีชีวิต”
สำหรับผมเเล้ว "ฝายมีชีวิตเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ความเป็นพลเมือง เรียนรู้จากการปฏิบัติโดยเริ่มต้นตั้งแต่เรียนรู้เรื่องน้ำในคลอง ทำไมน้ำในคลองจึงแห้ง ทำไมคลองจึงตื้น ต้นไม้ข้างคลองมีประโยชน์อะไร แล้วมันหายไปไหน ทำไมถึงหายไป สัตว์น้ำในคลองมีอะไรบ้าง ปัจจุบันทำไมมันจึงหายไป เป็นต้น โดยใช้หลักการสิทธิและเสรีภาพ และหลักความเสมอภาค กล่าวคือ เป็นโอกาสที่ทุกคนได้แสดงความคิดเห็นโดยเอาความเห็นร่วมแทนที่จะใช้วิธียกมือลงคะแนน”

ประโยชน์ของฝายชีวิต

1.ในช่วงหน้าน้ำหลาก ฝายมีชีวิตจะชะลอ กักเก็บน้ำไม่ให้ปริมาณน้ำไปท่วมในพื้นที่ชุมชนเมือง แต่ในขณะเดียวกันปริมาณน้ำของฝายมีชีวิตจะซึมไปช่วยให้ระบบนิเวศในพื้นที่มีความชุ่มชื้นตลอดเวลา
2.ในช่วงหน้าแล้ง ฝายมีชีวิตจะช่วยระบายน้ำออกมาให้ชาวเมือง ชาวบ้านได้ใช้ตลอดช่วงหน้าแล้ง
3.ปัจจุบันน้ำใต้ดินลดปริมาณลงอย่างมาก เพราะเรามักแก้ปัญหาน้ำมาก โดยการผันน้ำลงสู่ทะเลให้เร็ว จนน้ำไม่สามารถซึมผ่านลงใต้ดิน ปัญหานี้ฝายมีชีวิตสามารถช่วยได้ เพราะสามารถกักน้ำทำให้น้ำมีเวลาซึมลงสู่ใต้ดิน
4.ฝายมีชีวิตไม่ตัดวงจรทางระบบนิเวศทั้งสัตว์ พืช น้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตะกอนทรายสามารถไหลข้ามผ่านไปได้ทางบันไดหน้าหลัง รวมตลอดจนถึงสัตว์น้ำทุกชนิด โดยเฉพาะปลาสามารถขึ้นลงวางไข่ได้ตามธรรมชาติ
5.ฝายมีชีวิตสามารถสร้างวังน้ำตามธรรมชาติที่หายไปจากการขุดลอก ทำให้วิถีชีวิตริมคลองกลับคืนมา เช่น ปลา นก ต้นไม้
6.ฝายมีชีวิตสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในชุมชนอย่างยั่งยืน
7.เมื่อดิน น้ำ ป่าสมบูรณ์ ฝายมีชีวิตสร้างเศรษฐกิจชุมชนให้เข้มแข็ง




วันที่สาม "การสร้างฝาย"






วันที่สี่ "การบวชป่า"
ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าห้วยกุ่ม อ.เกษตรสมบูรณ์ จ.ชัยภูมิ

บวชป่า! ประเพณีโบราณที่เกือบสูญหายไปจากสังคม

บวชป่า หรือบวชต้นไม้ เป็นประเพณีโบราณที่มีมานาน ตั้งแต่แม่หมอจำความได้ ก็รู้จักการบวชป่าแล้ว โดยเฉพาะคนต่างจังหวัด ที่ชีวิตโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ มีต้นไม้ มีป่าที่อุดมสมบูรณ์ หากแต่เวลาเปลี่ยนผ่านไป ความเจริญเข้ามาแทนที่ ต้นไม้ใหญ่น้อย ที่เคยอยู่ในป่า กลับต้องถูกตัดทำลายเพื่อนำไปทำประโยชน์เข้ากระเป๋านายทุน บางพื้นที่ร้ายแรงถึงขนาดมีการลักลอบตัดไม้ในเขตสงวน

การแก้ปัญหาที่ชาวบ้านร่วมกันคิดขึ้นมานั้น ต้องอาศัยความเชื่อเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะหากว่ากฎหมายเพียงอย่างเดียว ดูเหมือนจะไม่ได้ทำให้คนไม่ดีเหล่านี้รู้สึกได้ จึงเกิดเป็นประเพณี บวชป่า เปรียบเสมือนการบวชพระของมนุษย์ คนธรรมดาจะต้องเคารพนับถือ และไม่คิดทำร้ายโดยเด็ดขาด เพราะอาจจะโดนคำสาปแช่งหรือผลกรรมที่ร้าย ๆ ตามมาในอนาคตอีกหลายอย่าง



















วันที่ห้า "อำลาค่าย"









Comments

Popular posts from this blog

ผ้าไหมสุรินทร์ @สุรินทร์

กิจกรรมปันน้ำใจให้น้อง @โรงเรียนบ้านโคกกุง